USA

  • USA

    สร้างเครดิต

    หลังจากผ่านสัปดาห์แรกไปได้ก็ทำให้เรียนรู้ว่าประวัติเครดิตสำคัญมากในการอาศัยอยู่ในอเมริกา ซึ่งมันไม่ใช่แค่เรื่องที่เราจะไปกู้หรือทำบัตรเครดิตแค่นั้น แต่มันส่งผลต่อแม้แต่เรื่องเล็กๆ อย่างการเช่าบ้าน เปิดบัญชีสาธารณูปโภค ติดตั้งอินเตอร์เน็ต ฯลฯ ด้วย เพราะฉะนั้นสิ่งไม่ควรละเลยคือการทำบัตรเครดิต (แม้ว่าหลายคนอาจจะไม่อยากทำ หรือคิดว่าไม่จำเป็น แต่การมีบัตรเครดิตช่วยสร้างเครดิตได้ง่ายกว่าวิธีอื่น ไม่มีค่าใช้จ่ายหรือมีบ้างขึ้นอยู่กับบัตร และการใช้งาน) สมัครบัตรเครดิตอย่างไรในเมื่อเราไม่มีเครดิต เมื่อสักหลาย 10 ปี ก่อนที่เคยประสบมาการสมัครบัตรเครดิตใบแรกของคนที่ไม่มีเครดิตถือว่ายากมากและอาจต้องใช้วิธีอื่นเข้ามาช่วย แต่ปัจจุบันเป็นเรื่องง่ายขึ้นมากเมื่อหลายธนาคารมีตัวเลือก Secure Credit Card ให้เรา ซึ่งแปลง่ายๆ ก็คือบัตรเครดิตที่ใช้เงินฝากค้ำ เราฝากเท่าไรก็ได้วงเงินเท่านั้น ซึ่งหลังจากเราใช้บัตรไปสัก 6 เดือนและมีประวัติจ่ายเงินตรงเวลาตลอด ธนาคารก็จะคืนเงินที่ใช้ฝากค้ำไว้ (อาจเพิ่มวงเงินให้ด้วย) ซึ่งการใช้งานแต่ละเดือนก็จะถูกรายงานไปยัง Credit Bureau (ในอเมริกามี 3 เจ้าใหญ่ๆ) ถ้าใช้อย่างรับผิดชอบก็สามารถได้ Credit Score เกิน 720 ได้ในเวลาไม่นานนัก แต่ก่อนจะมาถึงการสมัครได้ต้องมีหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการสมัครก่อนซึ่งส่วนมากได้แก่ SSN State issued ID/Driving License บิลค่าน้ำค่าไฟค่าเน็ต เพื่อใช้ยืนยันที่อยู่ บัญชีธนาคาร (Saving/Checking) ส่วนมากเมื่อมาอยู่ได้สักเดือนหนึ่งก็จะได้เอกสารข้างต้นครบถ้วนแล้ว ขั้นต่อไปก็เลือกบัตรที่ต้องการ ทั้งนี้ประเภทของบัตรแบบฝากค้ำนี้จะไม่หลากหลายเท่าบัตรปกติและมักมีสิทธิประโยชน์ไม่มากนัก ส่วนตัวผมเลือก Discover เพราะชอบแบบ Cash Back (หากอนาคตทำ Affiliate ได้จะเอาลิงค์มาวาง) โดยการสมัครจะเป็นแบบออนไลน์ล้วน หลังจากกรอกข้อมูลคร่าวๆ ครบแล้ว ธนาคารก็จะถามว่าจะฝากค้ำเท่าไร (จะตัดจากบัญชีเราผ่านระบบ ACH) ซึ่งตรงนี้สำคัญ หากไม่ได้ลำบากจนเกินไปควรฝากค้ำไว้สัก 2 เท่าของรายจ่ายที่คาดไว้ว่าจะใช้ในแต่ละเดือน ไม่ควรใส่ขั้นต่ำ เช่น 500$ ไม่ใช่แค่ว่าใช้ได้น้อยวงเงินก็เต็มแล้ว แต่ยังมีเรื่องของ Credit Limit Utilization อีกด้วย ซึ่งผู้ออกบัตรมองว่าการใช้วงเงินบัตรเกิน 50% ต่อเดือนขึ้นไปจะมีความเสี่ยงสูงและเป็นลูกหนี้ที่ไม่ดีแม้ว่าเราจะจ่ายเงินตามรอบก็ตาม ยกตัวอย่างหากเรามีวงเงิน 500$ เอาแค่ซื้อของจำเป็นในร้านอาหารและ Supermarket เดือนๆ นึงแบบประหยัดก็ถึง 400-500$ ได้ไม่ยากซึ่งเวลารายงานเข้าไปที่บุโรจะพบว่าเรามีการใช้วงเงินสูงถึง 90-100% แบบนี้สกอร์ตกแม้ว่าจะจ่ายตรงเวลาก็ตาม แต่หากบัตรเรามีวงเงิน 2000$ ใช้ไป 500$ ถือว่าใช้วงเงินไป 25% แบบนี้ผู้ออกบัตรชอบสกอร์เพิ่มเพราะถือว่าไม่ใช้เกินตัว เพราะฉะนั้นหากไม่เดือดร้อนอะไรให้กำหนดยอดวงเงินและฝากค้ำครั้งแรกให้สูงที่สุดที่จะไม่เดือดร้อน (ต้องเป็นเงินเย็น) แม้ว่าหลายธนาคารจะสามารถฝากค้ำเพิ่มเติมได้ภายหลังแต่ผมพบว่ามักใช้เวลานานและยุ่งยากมากในการโทรติดต่อ หลังจากสมัครไปสักประมาณ 1 สัปดาห์ก็มักจะได้รับอนุมัติและได้บัตร…

  • USA

    การหาบ้านเช่าในอเมริกา

    การหาบ้านเช่าในอเมริกาไม่ใช่เรื่องง่าย และมีเงื่อนไขจุกจิกมาก โดยเฉพาะคนที่ไม่มีญาติหรือที่พักชั่วคราวที่ไปถึงแล้วจะเข้าพักได้ทันทีต้องเตรียมตัวให้ดีก่อนจะออกเดินทางมิเช่นนั้นอาจจะหาบ้านไม่ได้ กลายเป็นว่าต้องนอนโรงแรมหรือ AirBNB ระยะยาวซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง ทั้งนี้สิ่งที่ต้องคำนึง และเตรียมตัวมีดังนี้ ขั้นแรก สำรวจบ้านตามเว็บไซต์ต่างๆ โดยเว็บโฆษณาบ้านที่ได้รับความนิยมส่วนมากก็จะมี Zillow Realtor Apartments หรือค้นหาใน Google ก็จะขึ้นมามากมายแล้ว ทีนี้ก็เริ่มกำหนดรายละเอียดซึ่งก็หลักๆ คือ วงเงินที่จะจ่ายต่อเดือน ทั้งนี้ราคาที่ประกาศจะยังไม่รวมค่ายิบย่อยอื่นๆ อีกเช่น ภาษีท้องถิ่น ค่าเก็บขยะ ฯลฯ ซึ่งไม่สามารถประมาณการได้ถ้าไม่ถามผู้ให้เช่าหรือคนท้องถิ่น ชนิดของบ้าน จำนวนห้องนอน อพาตเมนท์ ทำเล อันนี้สำคัญมาก โดยเฉพาะคนที่มีข้อจำกัด อาทิ ไม่ขับรถ ต้องอยู่ใกล้ป้ายรถเมล์ หรือคนที่มีลูกต้องคำนึงถึงโรงเรียนที่ให้บริการในพื้นที่ด้วยซึ่งจะส่งผลต่อราคาอย่างมาก บ้านที่อยู่ในเขตโรงเรียนดีมีชื่อเสียงคือแพงมาก บ้านเช่าที่อเมริกาส่วนมากจะไม่มีเฟอร์นิเจอร์ให้ แบบ full furnished ก็พอมีแต่มักหาได้ยาก เมื่อเลือกบ้านได้แล้วขั้นต่อไปก็ทำการติดต่อผู้ให้เช่าซึ่งส่วนมากจะเป็นบริษัทมากกว่าเจ้าของโดยตรง โดยสิ่งที่ควรจะสอบถามคือบ้านว่างพร้อมย้ายเข้าได้เมื่อไร (เพระบางทีเขาประกาศก่อนผู้เช่าเดิมย้ายออก) ที่ตั้งจริง ตำแหน่งห้องตรงไหน ชั้นอะไร (ถ้าได้ที่อยู่มาจะดีเพราะใช้ Google street view เข้าไปส่องดูสภาพแวดล้อมได้อยู่บ้าง) ค่าเช่าต่อเดือน ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ระยะเวลาสัญญา บางที่ Google Review จะมีคนเช่าก่อนๆ มาติชมด้วย เป็นประโยชน์ในการเลือกบ้าน จากประสบการณ์การหาบ้านในเมืองมหาวิทยาลัยหากเป็นช่วงอื่นที่ไม่ใช่ก่อนเริ่มปีการศึกษาจะหายากมาก (อาจต้องหา sublet สัญญาต่อจากคนอื่น) และการสิ้นสุดสัญญามักจะเป็นช่วงจบปีการศึกษาเท่านั้น (ไม่ใช่ 1 ปี แบบที่อื่นๆ) และเมื่อเราแสดงความสนใจในบ้านและเริ่มถามคำถามลึกขึ้นทางบริษัทจะให้เราเสียเงินค่า Application Fee เลยซึ่งจะไม่คืนทุกกรณี ที่เจอมาส่วนใหญ่เก็บที่ 50-60$ และบางที่จะบังคับจ่ายเงินมัดจำบางส่วนด้วยเช่นที่เจอมาเก็บ 250$ แถมมี Credit Card Fee 15$ อีก ทั้งหมดนี้คือเป็นการจ่ายค่าดำเนินการพิจารณาการขอเช่าบ้านของเราไม่ได้แปลว่าเราได้มัดจำหรือจองบ้านแล้วแต่อย่างใด (หากสุดท้ายแล้วเราไม่ได้บ้านเนื่องจากขาดคุณสมบัติ มีคนขอเช่าเยอะและโพรไฟล์ดีกว่าเรา หรืออะไรก็ตามแต่จะได้คืนแค่ค่ามัดจำ) ซึ่งหากประวิงหรือเลี่ยงยังไม่จ่าย Application Fee นี้แล้วส่วนมากจะเริ่มไม่ตอบเมลแล้ว (ประมาณว่าอยากถามมากกว่านี้ก็จ่ายเงินมา) เมื่อเราจ่ายเงินค่าใบสมัครเช่าบ้านแล้วก็ภาวนาอย่าให้มีคู่แข่งเยอะในช่วงนั้น ทางบริษัทก็จะมีเอกสาร มีฟอร์มให้กรอกมากมายซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ e-signature หมดแล้วสะดวกมากๆ สิ่งสำคัญที่ผู้ใช้เช่าจะตรวจสอบคือประวัติการเช่า/เครดิต/เงินเดือน/หน้าที่การงาน ของเรา ซึ่งเราเป็นคนต่างชาติไม่เคยมีประวัติที่อเมริกาจะเสียเปรียบมากๆ หากมีคู่แข่งปุ้บส่วนใหญ่ผู้ให้เช่าจะเลือกปล่อยกับคนที่เช็คประวัติได้ หรือมีประวัติดีกว่า ขั้นตอนนี้ถือว่าเครียดพอควรถ้ามีเงื่อนไขเวลาหรือตัวเลือกจำกัดมากๆ สำหรับกรณีนี้เราได้แจ้งบริษัทไปแล้วว่าไม่เคยอยู่อาศัยในอเมริกามาก่อน ไม่มีประวัติอะไรเลย ไม่มีใบรับรองเงินเดือน บัญชีธนาคาร ให้ทำอย่างไรซึ่งบริษัทก็แจ้งว่าขอ…

  • USA

    การย้ายไปอยู่อเมริกา 101

    บันทึกจากประสบการณ์การย้ายไปทำงานและอยู่อาศัยที่อเมริกา โดยจะข้ามเรื่องการหางาน วีซ่า เพราะเรื่องนี้หาข้อมูลได้ง่ายอยู่แล้ว แต่จะเน้นถึงสิ่งที่ต้องทำเมื่อจะเดินทางจริง และเมื่อมาถึง หาบ้าน ที่พักชั่วคราว เช่ารถ รายงานตัว ดำเนินการด้านเอกสาร ตรวจหาสารเสพติด เปิดใช้งานสาธารณูปโภคต่างๆ เปิดบัญชีธนาคาร ขอเลข SSN ขอ State ID เริ่มสร้างเครดิต/สมัครบัตรเครดิต ภาษี ว่างๆ จะทยอยเขียน อัพเดตเรื่อยๆ